คงแทบไม่มีใครจะรู้สึกแย่เวลามีคนมาบอกว่า “เป็นคนจริงจัง” แต่สำหรับผมมันเจ็บจึ้ก มันรู้สึกเหมือนถูกว่าว่าเป็นคน “ไม่รู้จักการเล่นสนุก เป็นคนขี้ขลาด” เอาจริงๆแล้วผมไม่ชอบตัวเองก็มีส่วนคล้ายๆแบบนั้นอยู่เหมือนกัน มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่า “นี่คือจุดเปลี่ยน” แต่สุดท้ายก็ก้าวข้ามความกลัวว่าจะล้มเหลวไปไม่ได้ มีอยู่ช่วงนึงที่ผมเคยพยายามจะคิดตัดช่องน้อยแต่พอตัวโดยการคิดว่า “ก็เรามันเป็นแบบนี้นี่” แต่ในการที่จะเดินทางสายมือกลองอาชีพนั้น ผมต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง การตัดสินใจเดินทางไปประเทศไทยส่วนหนึ่งก็เพื่อปฏิวัติตัวเอง ผมคิดว่าถ้าผมได้ซึมซับความแกร่งของคนไทย ก็คงพอได้เครื่องนำทางในการเปลี่ยนแปลงตัวเองมาบ้าง
เราอยู่กันสั้นๆเพียง 4วัน 3คืน แต่ความเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นในตัวของผมนั้นมันเกินจินตนาการ ถ้าลองเปรียบเทียบระหว่างการแสดง “ฮาร์ดร็อค” ในวันแรก กับการแสดงฟรีไสตล์ในวันสุดท้ายแล้วล่ะก็ ช่วงเวลาตั้งแต่ขึ้นไปบนเวทีจนถึงเริ่มการแสดงมันต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนสุดๆเลยล่ะ ในวันแรกผมเปลี่ยนอุปกรณ์บนเวทีเป็นของที่เตรียมมาเองไปซะหมด ตั้งแต่กระเดื่องไปจนถึงชุดฉาบ แต่วันสุดท้ายผมสามารถขึ้นแสดงได้โดยไม่ต้องเอาอะไรขึ้นไปบนเวทีเลย พูดกันตรงๆ กระเดื่องของคนอื่นน่ะมันก็เหยียบยากจริงๆน่ะแหละ แต่ก็คิดว่า “ไม่เป็นไรหรอก” มันก็เป็นไปได้ว่าผมอาจจะพลาดและต้องทนกับความอับอายบนเวที มันอาจจะจบลงด้วยการถูกหัวเราะเยาะก็ได้… ตัวผมในตอนก่อนเดินทางมาทีนี่คงไม่คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนี้ได้
พอกลับไปยังญี่ปุ่น สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกคือไอ้ความรู้สึกที่ว่า “ไม่เป็นไร อะไรๆมันจะดีเอง” มันอาจจะมีอยู่ในตัวผมมานานแล้วก็ได้ ตอนที่ผมเข้าวง DOOKIE FESTA ก็เหมือนกัน ตอนนั้นผมยังอยู่กับวงอื่นอยู่ แต่พอได้ไปดูการแสดงสดของ DOOKIE FESTA มันก็เหมือนกับหัวใจผมถูกขโมยไป ตอนที่พิธีกรพูดว่า “มือกลองตอนนี้เป็นมือกลองชั่วคราวครับ” นั่นเป็นโอกาสแค่หนึ่งในล้าน มันทำให้ผมถึงกับต้องบุกเข้าไปในห้องพักศิลปินเพื่อขอร้องให้รับผมเข้าวง ผลจากในตอนนั้นคือชีวิตในฐานะมือกลองของผมได้เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง การไปประเทศไทยในครั้งนี้ ทำให้ความเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาดของผมมันกลับมาอีกครั้ง จากนี้ไปผมพร้อมแล้วที่จะเผชิญกับจุดเปลี่ยนในชีวิตที่จะผ่านเข้ามา
ในความหมายที่ดี “ตอนนี้ผมไม่รู้อีกแล้วว่าอนาคตจะเป็นยังไง”